แหล่งโบราณสถานที่สำคัญในจังหวัดสุรินทร์
ลักษณะตัวปราสาทตั้งอยู่บนเนินดิน ประกอบด้วยปราสาทอิฐจำนวน 5 หลัง ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน มีคูน้ำรูปตัวยู หันไปทางด้านทิศตะวันออกซึ่งเป็นทางเข้า มีบันได้ขึ้นลงทำด้วยฐานศิลาแลง ปราสาทประธานตั้งอยู่ตรงกลาง มีปราสาทขนาดเล็กอยู่ประจำทั้ง 4 มุม ปราสาททุกหลังมีประตูเข้าอยู่ทางทิศตะวันออก ลักษณะการก่อสร้างและรูปแบบสถาปัตยกรรมเหมือนกันทุกหลัง คือ ไม่มีมุขด้านหน้า ทับหลังและเสาประดับกรอบประตูเป็นหินทราย หน้าบันเป็นอิฐประดับลวดลายปูนปั้น ทับหลังของปรางค์ประธานตรงกลาง จำหลักเป็นรูปศิวนาฏราชยืนอยู่บนแท่น มีหงส์แบก 3 ตัว สองข้างประตูทางเข้าสลักเป็นรูปนางอัปสรยืนถือดอกบัว ส่วนปราสาทบริวารนั้นพบทับหลัง 2 แผ่น เป็นเรื่องกฤษณาวตาร แผ่นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะประลองกำลังกับช้างและคชสีห์ อีกชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะประลองกำลังกับคชสีห์ ซึ่งทับหลังที่พบ ณ ปราสาทแห่งนี้มีลักษณะสมบูรณ์มากและเป็นประติมากรรมที่มีค่ายิ่งของ จ.สุรินทร์ รอบ ๆ บริเวณมีสระน้ำ 3 สระ ลวดลายบนทับหลังและเสาประดับ มีลักษณะใกล้เคียงกับศิลปะขอมแบบบาปวนและแบบนครวัด อายุราวพุทธศตวรรษที่ 17 จึงสันนิษฐานว่าปราสาทหลังนี้คงสร้างขึ้นในสมัยดังกล่าว และเดิมคงสร้างเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย ต่อมาได้ถูกดัดแปลงให้เป็นศาสนสถานในพุทธศาสนา (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 22-23) เนื่องจากพบศิลาจารึกอักษรธรรมอีสาน ภาษาไทย-บาลี ที่ผนังประตูปราสาทบริวารหลังตะวันตก เล่าถึงการบูรณะปราสาทแห่งนี้ (คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ, 2544 :หน้า52-53)
เป็นศาสนสถานแบบขอมที่ประกอบด้วยปรางค์ 2 องค์ ตั้งอยู่เรียงกันในแนวทิศเหนือ-ใต้ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก องค์ปรางค์ก่อด้วยอิฐ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลง มีการแกะสลักอิฐเป็นลวดลายเช่นที่กรอบหน้าบัน เป็นรูปมกร (สัตว์ผสมระหว่างสิงห์ ช้าง และปลา) คาบนาคห้าเศียรจากลักษณะแผนผังของอาคารน่าจะประกอบด้วยปราสาท 3 องค์ตั้งเรียงกัน แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 2 องค์ บริเวณปราสาทพบกลีบขนุนยอดปรางค์ เสาประดับกรอบประตู แกะสลักจากหินทราย จัดแสดงไว้ด้านหน้าปราสาท
ข้อมูลเพื่อการเดินทางไปปราสาทยายเหงาตั้งอยู่ที่บ้านสังขะ ตำบลสังขะ ห่างจากที่ว่าการอำเภอสังขะไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 4 กิโลเมตร อยู่ริมถนนสายโชคชัย-เดชอุดม (ทางหลวงหมายเลข 24) ระหว่าง กม. 189-190 แยกไปตามทางลูกรังอีก 800 เมตร
ปราสาทหินบ้านพวง ผู้เชี่ยว ชาญทางด้านประวัติศาสตร์กัมพูชา ต่างเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นระหว่างปลายยุคเมืองพระนคร ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ ท่ามการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก และในอีก ๑๐๐-๒๐๐ ปีต่อมา ก็เข้าสู่ยุคการค้นพบครั้งมโหฬาร เมื่อ ดา กามา โคลัมบัส ก็ค้นพบชวา และอเมริกาฯลฯ ยุคนี้นับเป็นยุคที่ยุโรปนิยมโลกตะวันออก
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมศาสตร์
ปราสาทบ้านพลวง มีลักษณะของศิลปะร่วมแบบบาปวน และแบบนครวัด ครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เริ่มตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๖ สถาปนาราชวงศ์มหิธรปุระ ยังพบว่ามีปราสาทลักษณะคล้ายกันหลายแห่งในประเทศไทย เช่น
ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
ปราสาทสระกำแพงใหญ่ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
ปราสาทสดกก็อกธม อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว
ปราสาทพนมวัน และปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ปราสาทกู่สวนแตง
ปราสาทตาเมือนธม กิ่งอำเภอพนมดงรัก และปราสาทศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ฯลฯ
ลักษณะของปราสาทหินองค์นี้เป็นปรางค์องค์เดียว ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีประตูทางเข้าด้านหน้าเพียงด้านเดียวส่วนด้านอื่นอีกสามด้านทำเป็นประตูหลอก
องค์ปรางค์ก่อด้วยศิลาแลง และหินทรายสีชมพู ศาสนสถานแห่งนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุม มีภาพจำหลักที่ละเอียดอ่อนด้วยฝีมือช่างศิลป์ที่ประณีตงดงาม แต่องค์ปรางค์เหลือเพียงครึ่งเดียว ส่วนยอดหักหายไป รอบบริเวณมีบาราย (สระน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น)
สันนิษฐานได้ว่า
-ปราสาทแห่งนี้น่าจะเป็นการ สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่องค์พระอินทร์
-จากลักษณะของฐานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ มีพื้นที่ทางด้านข้างขององค์ปรางค์เหลืออยู่มาก สันนิษฐานว่า แผนผังที่แท้จริงของปราสาทแห่งนี้น่าจะประกอบด้วยปรางค์สามองค์สร้างเรียงกัน แต่อาจยังสร้างไม่เสร็จหรืออาจถูกรื้อออกไปอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นได้